
งานเดียวไม่พอ ส่อง ‘อาชีพเสริม’ ของตำรวจไทยจากหน้าข่าว
แฉตำรวจไทย เศรษฐกิจถดถอย เงินเฟ้อ ข้าวแพง แรงงานถูก สภาพแบบนี้ใครๆ ก็มองหาอาชีพเสริมทั้งนั้น.. ไม่เว้นแม้แต่ตำรวจ
แต่ในช่วงที่ผ่านมา อาชีพเสริมของตำรวจแต่ละอย่างเรียกได้ว่า ‘ท็อปฟอร์ม’ อย่างยิ่ง ตั้งแต่ขับรถนำขบวน, รับต่อวีซ่าทุนจีน, รับไกลเกลี่ยคดีทุนจีน ซึ่งล้วนแต่เป็นการทุจริต ใช้อิทธิพลหน้าที่โดยมิชอบ แถมปัจจุบันยังมีกรณีดาราไต้หวันที่อ้างถึงว่าถูกตำรวจรีดไถอีก ทั้งหมดนี้เป็นการสร้างวัฒนธรรมที่ไม่ดีและตอกย้ำซ้ำเติมภาพลักษณ์ ‘ขโมยในเครื่องแบบ’ ให้แจ่มแจ้งขึ้นในกลุ่มผู้รักษากฎหมาย
เราลองไล่ดูตามหน้าข่าวสารว่าในช่วงที่ผ่านมาตำรวจไทย รับจ็อบทำ ‘อาชีพเสริม’ อะไรบ้าง และก็แอบรับรองว่าแต่ละจ็อบเด็ดๆจนจะต้องเอาเท้าก่ายหน้าผากทั้งนั้น
แฉตำรวจไทย ขับรถนำขบวน
กลายเป็นข้อความสำคัญใหญ่ตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาเมื่อแอคเคาท์ TikTok ชาวจีน @choudan0302 โพสต์คลิปว่าเธอทดสอบซื้อบริการตำรวจไทย และเมื่อเธอมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิก็พบว่ามีชายคนหนึ่งตัดผมสั้นกุดถือกระดาษ A4 ที่มีชื่อเธอมารออยู่ด้านในของสนามบิน แล้วเดินนำทาง ถือกระเป๋า พาเธอลัดช่องด่านตรวจศุลกากร จนออกมาถึงด้านนอกสนามบิน เธอก็ได้พบกับตำรวจท่องเที่ยว 1-2 นาย ที่พาเธอขึ้นรถไปส่งถึงโรงแรมที่พัก โดยกลางทางทั้งรถยนต์ที่เธอนั่งและมอเตอร์ไซค์นำขบวนมีการเปิดสัญญาณไซเรนอยู่ตลอดเวลา ดังนี้ เธอระบุว่าค่าเดินทางนำขบวนมี 2 ราคา มอเตอร์ไซค์อยู่ที่ 6,000 บาท รถยนต์ 7,000 บาท
ฉาวยังไม่ทันไร เฟซบุ๊กเพจ ‘ลุยจีน’ ได้ออกมาโพสต์รีวิวการสั่งซื้อบริการ Thailand Fast Pass ผ่านแพลตฟอร์มเถาเป่า (Taobao) ซึ่งทางเพจสอนกระบวนการดูข้อมูลเบื้องต้นของบริการต่างๆในเว็บไซต์แห่งนี้ โดยบริการส่วนใหญ่จะเป็นการพาผ่านด่าน ตม. ที่สนามบินแบบเร็วทันใจ ไม่ต้องต่อแถว และยังมีบริการอื่น อาทิ การใช้บริการรถยนต์นำขบวนจากตำรวจไทยราวกับที่ปรากฎในข่าวอีกด้วย
นอกเหนือจากนั้น สำนักข่าว PPTV ยังได้เจาะเรื่องนี้ต่อเนื่องรวมทั้งได้คุยกับไกด์คนหนึ่งซึ่งระบุว่า บริการแบบนี้มีตั้งแต่ช่วงก่อนเชื้อไวรัส COVID-19 ระบาดแล้ว โดยจะแบ่งเป็น 2 ต้นแบบคือ บริการอำนวยความสะดวกในสนามบิน รวมทั้งบริการรถนำขบวน ซึ่งสมัยก่อนจะจะต้องติดต่อผ่านไกด์คนไทย แต่ปัจจุบันมีขายทั่วๆไปทั้งในเว็บหรือซื้อผ่านเอเจนซี่ขายตั๋วเครื่องบินตั้งแต่ที่ประเทศจีน
ทางด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ยืนยันว่ากำลังติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง และก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อสรุปในกรณีคลิปชาวจีนแล้ว ซึ่งจำต้องติดตามกันถัดไปว่า สตช. จะแก้ปัญหาใช้อำนาจหน้าที่เผื่อผลตอบแทนส่วนตนอย่างงี้ของพวกตนเองอย่างไรต่อ
รีดไถเงิน
ไม่กี่สัปดาห์หลังมีข่าวตำรวจรับนำขบวนติ๊กต๊อกเกอร์ชาวจีน ได้มีการเผยจาก อัน ยู๋ชิง หรือ ชาลีน อันดาราชาวไต้หวันว่า ในช่วงที่เธอมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยเธอถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งด่านเรียกระหว่างนั่งบนแท็กซี่ ก่อนถูก ‘รีดไถเงิน 27,000 บาท’ ถัดมา ทางสำนักข่าว PPTV ได้ทักอินสตราแกรมไปพูดคุยกับเธอ ก่อนได้ข้อมูลเพิ่มว่าเธอถูกเรียกตรวจบริเวณหน้าสถานทูตจีน หรือรัชดาซอย 3 อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด และเป็นเพียงการกล่าวหาเท่านั้น ซึ่งในตอนนี้ทางตำรวจกำลังเร่งตรวจสอบเรื่องดังกล่าว
แต่การรีดไถเงินไม่ได้มีเพียงแค่กรณีดังกล่าว ย้อนกลับไปวันที่ 10 เดือนมีนาคม 2565 มีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ 2 ราย ตำรวจนครบาล 2 ราย พร้อมบุคคลอ้างตัวเป็นเจ้าของเว็บพนันออนไลน์และพวก ได้ไปพบสามีภรรยาคู่หนึ่งที่บ้าน และขู่ให้คืนเงินที่ได้จากการพนัน มิฉะนั้นจะพาตัวสามีไป ด้วยความกลัวภรรยาจึงยอมคืนเงิน 400,000 บาท พร้อมพระเลี่ยมทองอีก 1 องค์ มูลค่า 200,000 บาท ดังนี้ สามีเมียยอมรับว่าตัวเองเล่นพนันจากเว็บออนไลน์แห่งหนึ่งจริงเมื่อปี 2564 โดยเล่นเป็นเวลา 2 เดือน ก่อนได้กำไรรวมเกือบ 2 ล้านบาท
แต่ประเด็นคือตำรวจไปขอเงินจากผู้เล่นพนันออนไลน์ได้ด้วยหรือ? จนท้ายที่สุดวันท่ี 31 มีนาคม 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 คนภายในคดีดังกล่าว และในพื้นฐานให้ออกจากราชการแล้ว โดยทางด้าน พล.ต.ท.กรไชย ละม้าย ผบช.สอท. ระบุว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์อีกทั้ง 2 คนเป็นผู้จะรับผิดชอบคดีเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ ด้วยเหตุนั้น ก็เลยเป็นไปได้ว่าทั้งคู่จะใช้ข้อมูลราชการสำหรับการหาผลประโยชน์ส่วนตน ซึ่งถือว่าไม่ถูกรุนแรง ทั้งนี้ ทางด้านผู้เสียหายจะถูกดำเนินคดีเหมือนกัน เนื่องมาจากทำความผิดเล่นพนันออนไลน์
โถ..
แฉตำรวจไทย ออกวีซ่าและพาคนต่างด้าวเข้าประเทศ (ทุนจีนเทา)
หนึ่งในประเด็นที่ใหญ่และฉาวโฉ่ที่สุดของสังคมไทยสำหรับในกรณีที่ ชูวิทย์ ใจวิศิษฏ์ออกมาแฉเรื่องทุนจีนเทา ซึ่งยิ่งขุดลึกยิ่งเห็นสายสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่ากลุ่มทุนต่างประเทศกับเหล่าผู้มีอำนาจในไทย
และเป็นอีกครั้งที่งานใหญ่แบบนี้ตำรวจไทยไม่พลาดมีส่วนร่วม โดยในวันที่ 12 เดือนธันวาคม 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกค้นมูลนิธิครีเอทิง บาลานซ์ ก่อนพบว่าเป็นสถานที่รับเปลี่ยนประเภทวีซ่าจากประเภทท่องเที่ยว เป็นวีซ่าประเภท 5 ซึ่งจะทำให้อยู่ในประเทศได้ 1 ปี หลังแล้วหลังจากนั้น จะส่งหนังสือเดินทางต่อไปยังภูมิภาคเพื่อลงตราวีซ่า โดยมีราคาที่จะต้องจ่ายทั้งหมด 30,000-50,000 บาท/ครั้ง และภายหลังการขยายผลตรวจหามูลนิธิลักษณะเดียวกัน และสอบสวนหัวหน้าสถานีกองตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ก็เลยได้มีการออกหมายจับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 81 ราย โดยเป็นระดับผู้บังคับบัญชา ตม. ถึง 3 ราย เนื่องจากอำนวยความสะดวกให้กลุ่มจีนเทาเข้าประเทศ และอนุมัติต่อวีซ่าให้โดยใช้ชื่อของมูลนิธิ หรือโรงเรียนสอนภาษา
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บังคับบัญชาตำรวจแห่งชาติ ระบุเพิ่มอีกว่า ในบางพื้นที่ข้าราชการ กองตรวจคนเข้าเมืองมีฐานะเป็นประธานมูลนิธิบางแห่งเสียเอง ในช่วงเวลาที่บางพื้นที่สถานที่ตั้งของมูลนิธีมีลักษณะก็จะคล้ายเล้าไก่ และยังพบการปลอมแปลงลายเซ็น ผวจ.เพื่อรับรองการเปิดมูลนิธิอีกด้วย
ก็ว่าทำไมเข้าง่าย อยู่ง่าย เนื่องจากว่ามีผู้รักษากฎหมายคอยดูแลให้นี่เอง
ตบทรัพย์แลกปล่อยตัว (ทุนจีนเทา)
กลิ่นยังคละคลุ้งไม่พอสำหรับกรณีทุนจีนเทา เพราะว่าจากกรณีตอนวันที่ 22 ธ.ค. 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจ 191 และ DSI ได้บุกค้นบ้านพักหลังหนึ่งที่อ้างว่าเป็นบ้านพักยืนยันของกงศุลประเทศนาอูรู แต่ที่จริงเป็นสถานที่รับทำวีซ่าปลอมของกลุ่มชาวจีน โดยเมื่อเข้าค้นบ้านพักดังกล่าวก็ได้ตรวจพบชาวจีน 11 รายซึ่งมีชื่ออยู่ในบัญชีแดงของทางการจีน และเงินสด 8 ล้านบาท แต่ท้ายสุด กลายเป็นว่าเจ้าหน้าที่สามารคุมตัวผู้ต้องหาได้เพียง 1 ราย และเงินสด 2.5 ล้านบาทเท่านั้น และมีรายงานต่อมาว่าชาวจีนที่เหลือหลบซ่อนออกนอกประเทศไปแล้ว
ต่อมาในวันที่ 28 ธ.ค. 2565 มีการเปิดเผยจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เจ้าหน้าที่ชุดที่เข้าตรวจค้นได้เจรจายอมปล่อยตัวชาวจีนเพื่อแลกกับเงินรวมทั้งสิ้น 9.5 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการถอดกล้องวงจรปิดและเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดในบ้านหลังดังกล่าวเพื่อทำลายหลักฐานอีกด้วย
ล่าสุด ได้มีการออกหมายจับเจ้าหน้าที่ DSI และตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการค้นบ้านดังกล่าวแล้ว และมีคำสั่งย้าย ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดี DSI ไปปฏิบัติภารกิจราชการที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และรักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
เป็นอันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยบางนายมองเห็นเงินแล้วตาพร่า จับไม่ถูก ปล่อยผู้ต้องหาหายตัวได้ซะงั้นเลย
พนักงานเก็บเงิน (ส่วย)
และนี่เรียกว่าเป็นอาชีพเสริมคลาสสิกของตำรวจไทย โดยช่วงวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังเข้าจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นตำรวจท่องเที่ยว หลังจากเจ้าของสถานบันเทิงหลายรายในอำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ร้องทุกข์ว่ามีเจ้าหน้าที่อ้างเป็นชุดดูแลเดินสายเก็บส่วนจากสถานเริงรมย์หลายที่ โดยผู้ต้องหาทั้งคู่จะอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ปกครองและโทรหาสถานบันเทิงเรียกเก็บเงินค่าดูแลทีแรก 5,000 บาท และเก็บเป็นจำนวน 3,000 – 4,000 บาททุกเดือน ถ้าร้านใดไม่ยอมรับ จะมีการข่มขวัญว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าปิดร้าน
สุดท้าย เจ้าหน้าที่จับผู้กระทำผิดได้ 2 ราย พร้อมยึดเงินสดของกลางที่ทำเครื่องหมายไว้จำนวน 100,000 บาท โดยทั้งคู่อ้างว่าจะนำเงินไปให้กับ ‘นายแป๊ะ’ ซึ่งคาดว่าเป็นผู้มีอำนาจ
เบื้องต้น มีคำสั่งให้ตำรวจท่องเที่ยวคนดังกล่าวออกจากราชการแล้ว อย่างไรก็ตาม ภรรยาและญาติของผู้ต้องหาได้ยื่นประกันตัวทั้งคู่วงเงิน 1 ล้านบาท ก่อนที่จะผู้ต้องหาทั้งคู่จะฟ้องกลับเจ้าหน้าที่ว่าข่มขืนกระทำชำเราใจให้เกิดความตกใจกลัว และบังคับให้ออกจากรถ โดยไม่แจ้งให้ทราบว่ากระทำผิดอะไร ข้อกล่าวหาใด จนได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย
เป็นได้ว่านี่ไม่ใช่กรณีเก็บส่วยที่เกิดขึ้นครั้งแรกและที่เดียวในไทย แต่ขึ้นกับว่ามันจะเป็นข่าวไหมเป็นข่าวเท่านั้น
‘เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่, ได้โปรดเมตตาปรานีต่อประชาชน, อดทนต่อความเจ็บใจ, ไม่ไหวหวั่นกับความเหนื่อยยาก, ไม่มักมากในลาภผล, มุ่งบำเพ็ญคุณประโยชน์ต่อปวงประชา, ดำรงตนในยุติธรรม, กระทำการด้วยวิญญา, รักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต’ จากอุดมคติของตำรวจทั้ง 9 ข้อนี้ คุณว่าปัจจุบันตำรวจไทยทำได้กี่ข้อ
ที่มา TheMatter